• Where are those happy days? They seem so hard to find
  • I tried to reach for you, but you have closed your mind
  • Whatever happened to our love? I wish I understood
  • It used to be so nice, it used to be so good
  • So when you’re near me, darling, can’t you hear me? S.O.S
  • The love you gave me, nothing else can save me, S.O.S

สัญญาณของความช่วยเหลือ S.O.S เป็นอีกหนึ่งเพลงฮิต ของ ABBA กลุ่มศิลปินยิ่งใหญ่ระดับโลกจากสวีเดน

ระยะนี้ ใครๆ ก็พูดถึงสวีเดน โดยไม่เกี่ยวกับ ABBA หรือ Roxette แต่เป็นวิธีการรับมือกับโควิด-19 ที่ไม่เหมือนใครของสวีเดน

นอกจากฝ่ายต้านรัฐบาลไทย และกลุ่มต้านล็อกดาวน์ ที่อ้างถึงแนวทางของรัฐบาลสวีเดนแล้ว ทั้งโลกจับจ้องไปที่สวีเดนมากยิ่งขึ้น เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 และผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างน่าห่วงในหลายประเทศทั่วโลก

สวีเดนมีประชากรประมาณ 10 ล้านคน รายงาน ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2563 มีผู้ติดเชื้อ 22,082 คน เสียชีวิต 2,669 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 260 ต่อประชากรทุกๆ 1 ล้านคน ในวันเดียวกัน ประเทศไทย มีจำนวนผู้เสียชีวิต 0.8 คน (ยังไม่เถึง 1 คน)  และมีผู้ติดเชื้อจำนวน 2,969 คน

ประเทศเพื่อนบ้านของสวีเดน อันได้แก่ เดนมาร์ค(9,407), นอร์เวย์(7,809) และ ฟินแลนด์(5,176) ไม่มีประเทศใดมีจำนวนผู้ติดเชื้อถึงหมื่นคน (ณ วันที่ 2 พ.ค 63)

ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ดอนัลด์ ทรัมพ์ กล่าวว่า “สวีเดนจะต้องชดใช้อย่างหนักจากการที่ไม่สั่งล็อกดาวน์” แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ และยอดผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ จะมีจำนวนมากกว่าสวีเดน แต่เมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนต่อจำนวนประชากรแล้ว อัตราการเสียชีวิตในสหรัฐฯ ต่อประชากร 1 ล้านคน อยูที่ระดับ 204 คน ซึ่งต่ำกว่าของสวีเดน

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับสวีเดน?  ทำไมรัฐบาลกล้าเดิมพันด้วยชีวิตของประชาชน และทำไมประชาชนกล้าท้าทายโควิด-19 ด้วยชีวิตของตนเอง?

สวีเดนเพิกเฉยต่อแนวคิด “เก็บตัวที่บ้าน” และ “ใส่หน้ากากอนามัย” แต่ยังคงแนะนำให้ประชาชน ยึดหลัก physical distancing และห้ามการชุมนุมที่เกินกว่า 50 คน อีกทั้งใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับ physical distancing อย่างจริงจัง ร้านอาหารที่ละเลยระเบียบเรื่องนี้ เช่นไม่จัดโต๊ะให้ห่างกันตามกำหนด หรือปล่อยให้มีการยืนดื่มหรือทานอาหาร จะถูกสั่งปิด ดังที่มีข่าวจากสวีเดนเป็นระยะ

นายแพทย์ Anders Tegnell ผู้อำนวยการศูนย์ระบาดวิทยาแห่งชาติกล่าวว่า วิธีการ herd immunity (การสร้างภูมิคุ้มกันเป็นกลุ่ม) จะช่วยให้การระบาดของโควิด-19 ค่อยๆ ลดลง (CNN: 29/04/2020) นพ. เทกเนลล์ อธิบายว่า herd immunity จะเกิดขึ้นเมื่อประชากร จำนวน 70%- 90% สร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 ขึ้นเอง การระบาดของโรคจะหยุดลง แต่ Dr. Nate Favini หัวหน้าทีมแพทย์ศูนย์ป้องกันสุขภาพ Forward บอกกับ Forbes ว่า การใช้วิธี herd immunity ไม่ควรทำโดยไม่มีวัคซีน เพราะจะทำให้เกิดการตายจำนวนมาก ในกรณีของสวีเดน จำนวนของผู้ติดเชื้อจะต้องมากกว่าที่เป็นอยู่อีกเท่าตัว ถึงจะอยู่ในระดับที่จะเกิด herd immunity ได้

Riksbank ซึ่งเป็นธนาคารกลางของสวีเดน และเป็น think tank สำคัญของสวีเดน ให้ความเห็นว่า หากสั่งให้ล็อกดาวน์ดังเช่นประเทศเพื่อนบ้านแล้ว เศรษฐกิจจะพังพินาศ ดังเช่นประเทศต่างๆ ในยุโรป

แต่ไม่ว่าจะมีคำวิจารณ์และความเห็นจากผู้นำ หรือผู้เชี่ยวชาญใดๆ สวีเดน ยืนหยัดชัดเจนกับแนวทางที่เลือกใช้ ในการรับมือกับโควิด-19

รัฐบาลสวีเดน แจ้งให้ประชาชนแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม รักษาระเบียบเรื่องการเว้นระยะห่างกัน หากมีอาการป่วยให้เก็บตัวอยู่ในบ้าน และห้ามไม่ให้มีการไปเยี่ยมสถานดูแลคนชรา โรงเรียนในระดับประถมยังเปิดให้มีการเรียนการสอน แต่นักเรียนนักศึกษาระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย ต้องเปลี่ยนเป็นการเรียนออนไลน์ ร้านค้า คอฟฟีช็อพ ร้านอาหารและบาร์ ยังคงเปิดตามปกติ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสวีเดน Ann Linde กล่าวถึงความเห็นของ ปธน. ทรัมพ์  ที่ว่า “สวีเดนยังจัดการสถานการณ์โควิด-19 ไม่ดีพอ” ว่า “สิ่งที่เราทำก็ไม่ต่างจากมาตรการของหลายๆ ประเทศ แต่ความแตกต่างคือ เราเชื่อใจพลเมืองของเรา ชาวสวีเดนมีความรับผิดชอบ” (TV4)

แนวทางของสวีเดน ได้รับฉายาว่า Swedish Model ซึ่งในระยะแรกของการระบาด ทั้งคณะรัฐมนตรี สื่อมวลชน และนักวิเคราะห์ ต่างยอมรับในวิธีการ “แนะนำแต่ไม่บังคับ” ตามที่รัฐบาลเสนอ โดยอ้างอิงถึงลักษณะนิสัยของชาวสวีเดน ที่ให้ความไว้วางใจต่อสถาบัน องค์กร และผู้อื่น จนเป็นอัตลักษณ์ ถึงกับมีคำกล่าวว่า ปัจเจกบุคคลชาวสวีเดนทุกคนมีตำรวจฝังติดอยู่บนไหล่

แต่อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าว ถูกตอกย้ำเสมอว่า การมีวินัยต่อตนเอง เป็นสิ่งสำคัญ นายกรัฐมนตรีสวีเดน Stefan Löfven ชี้แจงว่าประชาชนควรเคร่งครัดเรื่องวินัยโดยไม่ต้องให้ฝ่ายรัฐบาลออกคำสั่งบังคับ และเป้าหมายสำคัญคือการรักษาชีวิตและปกป้องสุขภาพประชาชน

สวีเดน อธิบายให้ประชาคมโลกเข้าใจว่า สวีเดนไม่มีข้อบังคับให้ประชาชนกักขังตนเองในบ้าน กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อของสวีเดนอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจและความรับผิดชอบส่วนบุคคล มาตรการที่ใช้ควบคุมโควิด-19 ก็อยู่ในกรอบเดียวกัน เป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะและเมคเซนส์สำหรับสวีเดน ซึ่งอาจจะไม่เมคเซนส์สำหรับประเทศอื่น เพราะสังคมในโลกนี้ล้วนต่างกัน

ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ ให้อำนาจแก่รัฐบาลในการประกาศภาวะฉุกเฉินได้ แต่รัฐบาลสวีเดน ไม่มีอำนาจเด็ดขาดในลักษณะดังกล่าว แต่ต้องอาศัยอำนาจจากฝ่ายบริหารอื่นให้รับรอง หากต้องการใช้อำนาจบังคับประชาชน ปัจจุบันสวีเดน ใช้กฎหมายฉบับพิเศษที่ได้รับการรับรองแล้ว เมื่อวันที่ 16 เมษายน เพื่อใช้จัดการดูแลสถานการณ์โควิด-16 กฎหมายฉบับชั่วคราวนี้จะมีผลถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2563 เท่านั้น

การที่รัฐบาลจะประกาศภาวะฉุกเฉิน เช่นประกาศเคอร์ฟิว จะถือว่าสังคมมีปัญหารุนแรง และจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา อีกทั้งการใช้อำนาจบังคับให้ประชาชน กักกันตน ทั้งประเทศ หรือห้ามออกจากเคหะสถานนั้น จะต้องมีการร่างกฎหมายขึ้นใหม่

แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายบังคับ แต่ชาวสวีเดนจำนวนหนึ่ง ก็เลือกปฎิบัติตนไม่ต่างจาก พลเมืองในประเทศอื่น ๆ เช่นใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง งดการไปฟิตเนส หรือลดจำนวนครั้งจากที่เคยไป รวมทั้งการนัดพบเพื่อนที่ร้านอาหารและบาร์ น้อยลงกว่าเดิม

Katarina Eckerberg อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Umeå University กล่าวว่า การที่บอกต่อๆ กันว่าในช่วงการระบาดของโควิด-19 ชาวสวีเดนไมได้เปลี่ยนพฤติกรรมใดๆ นั้นไม่เป็นความจริง เพราะผู้คนส่วนใหญ่ เปลี่ยนพฤติกรรมมากบ้างน้อยบ้าง  แม้ว่าอาจจะไม่ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่หาทางเลือกเอง เช่นเมื่อนัดพบเพื่อน ก็เปลี่ยนมานัดกันกลางแจ้ง “ตั้งแต่เกิดการระบาด ดิฉันได้ไปทานอาหารที่ร้านอาหาร 2 ครั้ง ทั้ง 2 ครั้งดิฉันและเพื่อน เป็นโต๊ะเดียวในร้าน ผู้จัดการร้านมาขอบคุณพวกเราที่มาใช้บริการ”

นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ต้องเรียนผ่านเทคโนโลยีออนไลน์ เพราะการนั่งติดกันในชั้นเรียน ทำให้เกิดความเสี่ยง แต่พวกเขายังสามารถไปอ่านหนังสือ และทำการค้นคว้าที่หอสมุดของมหาวิทยาลัย และห้องสมุดอื่นๆ ได้ตามปกติ โดยคำนึงถึงการเว้นระยะห่างจากผู้อื่น

ไม่ว่าชาวโลก จะมีความเห็นอย่างไรต่อมาตรการที่สวีเดนใช้ แต่จากการสำรวจ ชาวสวีเดนกว่า 80% เห็นด้วยกับมาตรการนี้ และรับผิดชอบต่อการตัดสินใจให้ตนเอง

สวีเดน เป็นประเทศที่ติดอันดับ TOP 10 ในเชิงคุณภาพชีวิต ความมั่นคง และสวัสดิการสำหรับประชาชนในด้านการศึกษา การประกันสุขภาพ วันหยุดพักผ่อน ค่าเลี้ยงดูบุตร สวัสดิการคนชรา และอีกมากมาย จนถูกเรียกว่าเป็น “รัฐสวัสดิการ” ระบบสวัสดิการต่างๆ ที่ประชาชนได้รับนั้น เป็นการแลกเปลี่ยนกับการจ่ายภาษีในอัตราค่อนข้างสูง

โวหารจากสวีเดน ที่รู้จักกันแพร่หลาย กล่าวไว้ว่า Alla sätt är bra utom de dåliga.(All methods are good except for the bad ones) จะใช้วิธีใดก็ดีทั้งนั้น ยกเว้นวิธีที่ไม่ดี

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here