“เธอเอาขาลงไม่ได้เหรอ นั่งไขว่ห้างกับฉันเนี่ย เอาขาลงได้มั้ยเธอ ขาเธอ เท้าเธอ”
คำติงของนายกต่อผู้สื่อข่าวกลายเป็นประเด็นใหญ่โต บรรดาฝ่ายต่อต้านพลเอกประยุทธ์ จับประเด็นเรื่อง “สตรีนิยม” (feminism) ข้ามเรื่อง “ความมีมารยาทสังคม” ไปอย่างเนียนๆ และเอาเรื่อง การนั่งไขว่ห้าง ในบริบทอื่นๆ ที่แตกต่างจากการเข้าฟังการแถลงข่าว จากผู้นำของประเทศมาโต้แย้ง ยิ่งตอกย้ำว่า เป็นการมองการนั่งไขว่ห้าง แบบใช้อารมณ์ ไม่สามารถแยกแยะบริบทได้ ในขณะที่มีข้อความจากทวิตเตอร์ ระบุว่า “นายกฯ ไม่พอใจนักข่าวนั่งไขว่ห้าง ใครมันทำแบบนั้นคะ ใช่ค่ะ ดิชั้นเอง แฮ่ โดนเตือนเลยว่า อยู่ต่อหน้านายกฯ ต้องนั่งเข่าชิด”
น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การนั่งไขว่ห้างของสื่อผู้นั้น ในช่วงการแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การนั่งไขว่ห้างแบบปกติ เป็นยกขาขึ้นมาพาด ทำให้เท้ายกสูงขึ้น และชี้ไปทางโพเดียมแถลงข่าว
แต่คำอธิบายของ ผอ. สำนักโฆษกฯ ซึ่งเป็นคำพูด สร้างความกังขาให้กับสังคม และผู้ต่อต้านนายกฯ และต้องการให้นำคลิปวิดิโอ จาก CCTV หรือภาพถ่ายมาแสดงให้เห็นประจักษ์
ข้อสงสัยว่านั่งไม่เรียบร้อยยุติลง เมื่อนักข่าวเจ้าตัว พูดเองในทวิตเตอร์ ว่า “ใช่ค่ะ ดิฉันเอาตีนชี้หน้าจริง” บรรดาผู้ที่วิจารณ์กันมาก่อนหน้าว่า “พลเอกประยุทธ์ก็เกินไป เจ้ายศเจ้าอย่าง” เพื่อปกป้องนักข่าวถึงกับวงแตก ไม่ต้องออกตัวแก้ตัวแทนกันต่อไป

การนั่งไขว่ห้าง มีหลายแบบ สตรีโดยส่วนใหญ่นั่งไขว่ห้างแบบขาแนบกัน คือขาที่คร่อมจะพับลง และทำให้ปลายเท้าเงยขึ้นเพียงเล็กน้อย อันเป็นลักษณะกายภาพธรรมชาติของร่างกาย เรียกว่า tight leg cross ส่วนผู้ชายเมื่อนั่งไขว่ห้างเพื่อเปลี่ยนอิริยาบท ให้กับกล้ามเนื้อ จะนำขาข้างหนึ่งไปวางบนขาอีกข้างหนึ่งโดยให้ข้อเท้าวางไว้ตรงส่วนหัวเข่า เรียกว่า ankle-on-knee leg cross ท่านั่งเช่นนี้ ทำให้เกิดลักษณะที่คล้ายกับเลย 4 จึงเรียกว่า ไขว่ห้างเลข 4 (figure four leg cross) บางครั้งท่านี้จะถูกอ้างว่าเป็น American leg cross
การนั่งไขว่ห้าง เป็นการแสดงออกทางร่างกายที่ไม่เคยเป็นประเด็นร้อนแรงมาก่อน การแสดงออกทางร่างกาย มีทั้งที่สื่อความหมายอย่างเจตนา และอย่างเป็นสัญชาติญาณ การนั่งไขว่ห้าง ก็ไม่ได้ต่างจากการกอดอก เอามือเท้าเอว หรือเอามือท้าวคาง หรือนั่งเหยียดขาตรง นั่งกับพื้นชันเข่าสองข้าง หรือข้างเดียว หากเราอยู่ลำพัง หรืออยู่กับเพื่อน เราจะนั่งท่าใด ก็ไม่มีใครเอาเรื่อง เพราะคนอื่นย่อมเข้าใจว่าเป็นท่านั่งที่ทำให้เรามีความสบายทางร่างกาย
ดังนั้นการนั่งไขว่ห้างโดยตัวมันเองไม่ใช่ปัญหา
ปัญหาคือเรื่องของมารยาทในการจัดท่าทางให้เหมาะกับกาลเทศะ ไม่ต่างจากการเคารพโอกาสและสถานที่ด้วยการแต่งตัวให้เหมาะสม เฉกเช่นการใส่ชุดดำไปร่วมงานศพ และไม่แต่งชุดขาวไปงานแต่งงาน หรือไม่ใส่รองเท้าแตะไปงานเลี้ยงในห้องบอลรูมในโรงแรม
คนไทยมองเห็นว่าศีรษะเป็นส่วนของร่างกายที่ถือว่าเป็น “ของสูง” และ “เท้า” เป็นของต่ำ แม้ว่าส่วนเท้านั้นไม่ได้ทำอะไรผิด การมองว่า เท้ามีสถานภาพต่ำ แม้ว่าจะเป็น “อวัยวะ” เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ เพราะเท้าเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นดิน ต้องเหยียบย่ำสิ่งสกปรกต่างๆ โดยเฉพาะในสมัยโบราณคนไทยไม่ได้ใส่รองเท้า การห้ามไม่ให้ยกเท้าขึ้นมาในระดับเดียวกับส่วนอื่นของร่างกาย เป็นกุศโลบายที่จะไม่ให้สิ่งสกปรกที่ติดอยู่กับเท้า หลุดหล่นใส่ของที่อยู่เหนือพื้น หรือทำให้ร่างกายส่วนอื่นเปื้อนไปด้วย
วัฒนธรรมฝรั่งไม่มีแนวคิดว่า เท้าเป็นของต่ำ เพราะผู้คนใส่ถุงเท้ารองเท้าตลอดเวลา แม้กระทั่งภายในบ้าน ในเขตอากาศหนาว บ้านและคอนโดปูพรมเพื่อให้ความอบอุ่น ฝุ่นและสิ่งของที่ติดมากับพื้นรองเท้าจะหลุดอยู่ที่พรม การทำความสะอาดพื้นบ้าน จึงต้องมีการดูดฝุ่นด้วย และก่อนจะก้าวเข้ามาในบ้าน จะมีพรมหยาบจัดวางไว้ให้เช็ดพื้นรองเท้า ก่อนเข้าบ้านเสมอ ปัจจุบันการปูพรมทั้งห้อง ได้รับความนิยมน้อยลงด้วยเหตุผลทางสุขภาพและความสะอาด แต่ก็ยังต้องดูดฝุ่น เพราะฝรั่งถือว่าใช้เครื่องดูดฝุ่นนั้นเร็วกว่าการใช้ไม้กวาด
การบอกเล่าว่าฝรั่งไม่ถือเรื่องเท้า เป็นการถ่ายทอดจากสถานการณ์ทั่วๆ ไป เช่นการใช้เท้าเขี่ยสิ่งของให้ผู้อื่น หรือเอาเท้าพาดตักเพื่อน แต่ฝรั่งก็มีขอบเขตเช่นกัน ครอบครัวที่มีระเบียบและชอบความสะอาด ก็จะห้ามลูกไม่ให้พาดเท้ากับโต๊ะรับแขกขณะที่นั่งบนโซฟาคุยกันหรือดูทีวี และเพื่อนบางคน จะขอร้องไม่ให้เพื่อนร่วมงานที่มาคุยที่โต๊ะเอาเท้าขึ้นมาพาดบนโต๊ะทำงาน
เรื่องต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังมาเช่น ลูกเล่นหัวพ่อแม่ หรือการเอาขาพาดโต๊ะ ชี้เท้าใส่เพื่อนนั้น แม้ในภาพยนตร์ก็แทบไม่มีให้เห็น
ค่านิยมของไทยเรื่องนั่งไขว่ห้างนั้น เกี่ยวข้องกับเรื่องเท้าที่ยกขึ้นเหนือพื้น และชี้ไปทางบุคคลอื่น เมื่อคติไทยถือว่าเท้าเป็นสิ่งสกปรก จึงไม่ควรชี้เท้าไปใส่ผู้อื่น ไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อน ไม่ได้ต่างจากคำเตือนว่า ไม่ควรแคะขี้มูกต่อหน้าคนอื่น ทุกอย่างเป็นเรื่องของการรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง การปฎิบัติตัวเหมาะกับกาลเทศะ นำมาซึ่งบุคลิกที่ดี ได้รับการยอมรับจากผู้คนที่สมาคมด้วย

ในการแถลงข่าวของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทั้ง โอบาม่าและทรัมพ์ สื่อมวลชนแต่งกายอย่างเป็นทางการ ผู้ที่นั่งแถวหน้า ทั้งบุรุษและสตรี นั่งไขว่ห้างในแบบขาแนบชิด เท้าอยู่ในระดับต่ำ การไขว่ห้างนั้น มีเจตนาที่จะให้หัวเข่าและต้นขา ยกระดับขึ้นมารองรับสมุดจดบันทึกได้พอดี ทำให้เขียนได้สะดวก สื่อมวลชนผู้ชายก็ไม่ได้ไขว่ห้างในสไตล์เลข 4 เพราะไม่ได้ช่วยให้วางสมุดจดบันทึกได้ ส่วนผู้หญิงที่ไขว่ห้างแบบขาแนบชิด (tight leg cross) โดยเฉพาะผู้ที่นุ่งกระโปรง ถือว่าเป็นท่านั่งที่ดูมิดชิด
การโต้แย้งโดยใช้ภาพของ เมลาเนีย ทรัมพ์นั่งไขว่าห้างเมื่อต้อนรับพลเอกประยุทธ์ ที่ไขว่ห้างแบบขาแนบชิด จึงเป็นการตะแบง โดยไม่เข้าใจบริบทของการนั่งไขว่ห้าง และไม่พิจารณาถึงสถานภาพของเจ้าบ้านและแขก ซึ่งเป็นผู้นำประเทศทั้งคู่ มีสถานภาพเท่าเทียมกัน
การใช้ภาพของศิลปินเกาหลี นั่งไขว่ห้างใน MV หรือภาพผู้จัดรายการยูทูบสองคน นั่งไขว่ห้างพูดคุยกัน หรือใช้ภาพพลเอกประยุทธ์ นั่งไขว่ห้างพูดคุยในรายการ Asia Society อย่างเป็นกันเอง มาแขวะ เหน็บหรือด่า ว่าไขว่ห้างเป็นเรื่องปกติ ย่อมสะท้อนว่า แยกบริบทและกาลเทศะไม่ได้
ทั้งชายและหญิง ตัดเรื่อง feminism ออกไป เวลาเข้าไปสัมภาษณ์งาน หรือผู้บริหารเรียกเข้าพบ ก็ลองนั่งไขว่ห้างสไตล์ figure four ดู อาจจะเข้าใจว่า การนั่งไขว่ห้างผิดที่ผิดทาง อาจเป็นองค์ประกอบของการอยู่ไม่เป็นสำหรับทุกคน


